
kanlayakanlaya2014@outlook.co.th
ความหมายของเพศศึกษา (Definition of sex education)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายของคำว่า “เพศ” หมายถึง “รูปที่แสดงให้รู้ว่าหญิงหรือชาย ซึ่งหากจะตีความกันแต่เพียงว่า “เพศ” คือ ลักษณะบอกให้ใครๆ รู้ว่า บุคคลนั้นๆ เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย” ในลักษณะของรูปธรรมเท่านั้น ก็เป็นการยากที่จะเข้าใจความหมายของความรู้เรื่องเพศได้อย่างสมบูรณ์ สำหรับความหมายของเพศในลักษณะนามธรรมนั้น “เพศ” หมายถึง “ความรู้สึกและความต้องการทางเพศ หรือกามารมณ์” ในทรรศนะของคน ทั่วไป คำว่า “เรื่องเพศ” หรือ ในภาษาอังกฤษเรียกว่า เซ็กส์ (sex)” มีความหมายที่กำกวม ตีความได้หลายความหมาย เช่น บางครั้งคำว่า เซ็กส์ (sex) หมายถึง ลักษณะทางกายภาพที่บอกว่าเป็นเพศชาย หรือหญิง บางครั้งหมายถึงแรงขับหรือสัญชาตญาณตามธรรมชาติของมนุษย์ที่แสดงออกเป็นพฤติกรรม บางครั้งหมายถึงพฤติกรรมทางเพศ หรือการมีเพศสัมพันธ์อย่างไรก็ตาม จากหลักฐานทางภาษาในวาทกรรมของสังคมไทย นักสังคมวิทยา 2 ท่าน คือ เนริดา คุค และ ปีเตอร์ แจกสัน (Nerida M. Cook and Peter A. Jackson, 1999) อภิปรายไว้ในหนังสือ “Genders & Sexualities in Modern Thailand” ว่า ในวาทกรรมไทยคำว่า “เพศ (phet)” คำเดียวมีความหมายครอบคลุมวาทกรรมในสังคมตะวันตกปัจจุบันดังนี้
- ลักษณะทางชีวเพศ (biological sex) ที่บอกว่าเป็นเพศชายหรือหญิง เช่น เพศผู้ เพศเมีย
- ความเป็นเพศ (gender) เช่น เพศชาย เพศหญิง
- ภาวะทางเพศ (sexuality) เช่น รักร่วมเพศ (ร่วมสังวาส) รักสองเพศ และรักต่างเพศ
- การร่วมเพศ (sexual intercourse) เช่น ร่วมเพศ เพศสัมพันธ์ (Cook and Jackson, 1999)
ส่วนคำว่า “ศึกษา (education)” หมายถึง กระบวนการเรียนรู้เพื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรม เมื่อนำคำทั้งสองมาผสมกัน เป็นคำว่า เพศศึกษา จึงมีนักวิชาการให้คำจำกัดความที่หลากหลาย แต่คำจัดกัดความเหล่านั้นมีความหมายที่คล้ายคลึงกัน
โดยสรุป เพศศึกษาคือ กระบวนการที่ก่อให้เกิดประสบการณ์ อันเป็นผลทำให้บุคคล เข้าใจพฤติกรรมที่เกี่ยวกับชีวิตนับแต่เกิดจนตาย ทั้งในด้านความรู้ ทัศนคติและการปฏิบัติที่เหมาะสมในเรื่องเพศ เพื่อสามารถปรับตัวดำเนินชีวิตในสังคมร่วมกับคนเพศเดียวกันหรือต่างเพศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทบาทสำคัญของเพศศึกษา (Significant roles of sex education)
- ช่วยให้แต่ละคนเข้าใจและยอมรับหน้าที่ตามเพศของตน
- เข้าใจความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในฐานะเพื่อน ให้เกียรติกัน
- ตระหนักถึงความแตกต่างในลักษณะการนึกคิดและพฤติกรรมทางเพศ และยอมรับความแตกต่าง
- เข้าใจการเลือกคู่
- เข้าใจการเตรียมตัวรับผิดชอบต่อครอบครัว
- เข้าใจการเลี้ยงดูบุตรธิดาให้เติบโตเป็นพลเมืองดี
ความรู้เรื่องเพศ (Sex information)
ลักษณะของเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องเพศ สามารถแบ่งเป็นลักษณะใหญ่ ๆ 4 ด้าน ได้แก่
- ความรู้ด้านชีววิทยา (Biological aspect) เช่น กายวิภาคและสรีรวิทยาของระบบสืบพันธุ์ของมนุษย์ทั้งชายและหญิง ลักษณะทางพันธุกรรมและสุพันธุกรรม (Genetic and Eugenic)
- ความรู้ด้านสุขวิทยา (Hygienic aspect) เช่น เรื่องเกี่ยวกับการป้องกันการเจ็บป่วยและส่งเสริมสุขภาพทางเพศ สุขวิทยาส่วนบุคคลเกี่ยวกับอวัยวะเพศ
- ความรู้ด้านจิตวิทยา (Psychological aspect) เช่น เรื่องที่เกี่ยวกับสภาวะจิตใจและอารมณ์ในเรื่องเพศ พัฒนาการด้านจิตใจและอารมณ์ทางเพศในวัยต่างๆ การปรับตัวเข้ากับเพศเดียวกันและต่างเพศ ความรู้สึก ทัศนคติต่อเรื่องเพศ และต่อเพศตรงข้าม เป็นต้น
- ความรู้ด้านสังคมวิทยาและวัฒนธรรม (Sociological and cultural aspect) เช่น เรื่องเกี่ยวกับพัฒนาการทางเพศในด้านสังคม เช่น ความสัมพันธ์กับเพศเดียวกันและต่างเพศ เพศสัมพันธ์ ปัจจัยด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม การเกี้ยวพาราสี การเลือกคู่ครอง การใช้ชีวิตคู่ ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมทางเพศต่าง ๆ
สถานการณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศ
ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศยังเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนอยู่มากเนื่องจากพฤติกรรมทางเพศถือเป็นเรื่องส่วนตัวและเป็นความลับ ดังนั้นข้อมูลที่จะกล่าวต่อไปนี้ จึงอาจมีหลายส่วนที่ต้องพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง ในอเมริกามีบางรายงานแจ้งว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของเพศชาย และ 28 เปอร์เซ็นต์ของเพศหญิง มีเพศสัมพันธ์เพียงบางโอกาสในรอบ 1 ปี ในประเทศอังกฤษพบว่าประชาชนใช้เวลา 3.5 ปีในชีวิตสำหรับการกิน 2.5 ปีสำหรับการพูดโทรศัพท์ 2 สัปดาห์สำหรับการจุมพิต และมีเพศสัมพันธ์ 2580 ครั้งกับคู่ (โดยเฉลี่ย) 5 คน
แม้ว่าอัตราการมีเพศสัมพันธ์จะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น แต่พบว่าระยะเวลาความสัมพันธ์หรือการแต่งงานกลับมีผลผกผันกับอัตราการมีเพศสัมพันธ์มากกว่าอายุ นอกจากนี้อัตราการมีเพศสัมพันธ์ยังแตกต่างกันในแต่ละวัฒนธรรม เพศสัมพันธ์หลังอายุ 40 ปี จะลดต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญในบางประเทศของทวีปเอเชียเมื่อเทียบกับทวีปยุโรป เช่น ในประเทศอินเดียคู่สมรสหลายๆคู่หยุดมีเพศสัมพันธ์หลังอายุ 50 ปี หรือเมื่อบุตรสาวแต่งงานหรือเมื่อมีหลายยายคนแรก
เมื่อเรื่องเพศมีบทบาทสำคัญและมีผลกระทบต่อสังคมหลาย ๆด้าน จึงสมควรอย่างยิ่งที่เราจะต้องศึกษา เพื่อให้เข้าใจเรื่องเพศและพฤติกรรมทางเพศของมนุษย์ในสังคม ตลอดจนการทำความเข้าใจในวัฒนธรรมทางเพศของกลุ่มสังคมย่อย และเข้าใจความขัดแย้งของวัฒนธรรมทางเพศที่อาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นในสังคมได้
รูปแบบของเพศสัมพันธ์ (Forms of sexual relation)
รูปแบบของเพศสัมพันธ์ในสังคมสามารถจัดได้เป็นสองลักษณะ คือ- เพศสัมพันธ์แบบรักต่างเพศ (Heterosexuality) เป็นเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิง และถือว่าเป็นพฤติกรรมทางเพศสัมพันธ์ของคนส่วนใหญ่ เนื่องจากหน้าที่ของเพศสัมพันธ์ในด้านการขยายเผ่าพันธุ์ ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงยอมรับและเข้าใจว่าเพศสัมพันธ์แบบชายกับหญิงเท่านั้นที่เป็นพฤติกรรมปกติ
- เพศสัมพันธ์แบบรักเพศเดียวกัน (Homosexuality) เป็นความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างชายกับชาย หรือหญิงกับหญิงอย่างใดอย่างหนึ่ง เนื่องจากสังคมไทยถือว่าเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิงเป็นเพศสัมพันธ์ปกติ ดังนั้นพฤติกรรมรักร่วมเพศจึงกลายเป็นพฤติกรรมที่ผิดปกติ เบี่ยงเบนไปจากบรรทัดฐานของสังคม อย่างไรก็ตาม บางคนอาจจะมีพฤติกรรมทางเพศแบบรักทั้งสองเพศ (Bisexuality) ซึ่งมีเพศสัมพันธ์ทั้งกับเพศตรงข้ามและกับเพศเดียวกัน
วัฒนธรรมทางเพศในสังคมไทย (Sexual culture in Thai society)
วัฒนธรรมความเชื่อเรื่องเพศ เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการควบคุมภาวะทางเพศของคนในสังคมและเป็นแนวทางในการแสดงออกของพฤติกรรมทางเพศของปัจเจกบุคคลทั้งเพศหญิงและเพศชายที่แตกต่างกัน เช่น ความเชื่อว่า ผู้ชายเป็นมนุษย์เพศที่เหนือกว่าผู้หญิง ผู้หญิงอ่อนแอกว่าผู้ชาย และผู้หญิงเป็นทรัพย์สมบัติของผู้ชาย ความเชื่อที่ว่าความต้องการทางเพศของผู้ชายเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องได้รับการตอบสนองและหาทางปลดปล่อย ในขณะที่เพศหญิงไม่จำเป็นต้องทำเช่นผู้ชาย ความเชื่อที่ว่า ผู้ชายชาตรีต้องมีความสามารถในเรื่องเพศ แต่ผู้หญิงที่ดีไม่ควรแสดงออกเกี่ยวกับเรื่องเพศ เป็นต้นในปัจจุบันแม้ว่าสภาพสังคมจะเปลี่ยนไป มีการผสมผสานวัฒนธรรมทางเพศของไทยและต่างประเทศผ่านกระแสโลกาภิวัฒน์ แต่วัฒนธรรมไทยดั้งเดิมหลายอย่าง ยังมีส่วนกำหนดพฤติกรรมของคนในสังคมอยู่มาก การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้มีผลกระทบต่อสังคมเป็นอย่างมาก การอพยพแรงงานจากภาคเกษตรกรรมเข้ามาสู่ภาคอุตสาหกรรม หนุ่มสาวต้องพรากจากสังคมเดิมเข้ามาอยู่ในสภาพใหม่ ไม่มีพ่อแม่หรือญาติให้การคุ้มครองหรือปรึกษาหารือ การพบปะของหนุ่มสาวง่ายขึ้น ประกอบกับการยอมรับวัฒนธรรมอื่นทั้งวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออก ทำให้การแสดงออกทางเพศของคนในสังคมเปลี่ยนไป
เพศศาสตร์ (Sexology)
ตามความหมายของ Webster’s New Twentieth Century Dictionary ให้ความจำกัดความไว้ว่า “เพศศาสตร์(Sexology) คือ ศาสตร์ หรือวิทยาการที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของมนุษย์” เพศศาสตร์ เป็นวิทยาการหรือศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องเพศ โดยมีรากฐานมาจากศาสตร์หลายๆ แขนง เช่น จิตวิทยา จิตเวช จิตวิเคราะห์ นรีเวชกรรม วิทยายูโร วิทยาเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อ (หมายถึงต่อมฮอร์โมนทั้งหลาย) ศาสตร์เหล่านี้จะช่วยแก้ไขข้อบกพร่องหรือความผิดปกติทางเพศทุกชนิด และสามารถจะช่วยให้มนุษย์ทุกคนมีความสุขที่สุดในเรื่องกามารมณ์ได้ (คำนึง, 2522 อ้างจาก ชัยวัฒน์ ปัญจพงษ์ และคณะ, 2524:7) เพศศาสตร์ จึงมีความหมาย ที่แคบกว่าเพศศึกษา เพราะเพศศึกษานั้น ต้องรวมถึงความรู้เกี่ยวกับชีวิตและการศึกษาด้านต่างๆ เช่น สุขวิทยา การแพทย์และสาธารณสุข การวางแผนครอบครัว ประชากรศึกษา จิตวิทยา วัฒนธรรม สังคม การเมือง ศาสนา และศีลธรรม เข้ามาผสมผสานด้วย เพศศึกษาจึงถือได้ว่าเป็นสหวิทยาการ (Multidiscipline)
การแบ่งแขนงของวิชาเพศศาสตร์ สามารถแบ่งตามหัวข้อได้หลายแบบ โดยจะกล่าวในที่นี้ 2 แบบ คือ
การแบ่งแบบที่ 1
- เพศศาสตร์ในด้านสังคมศาสตร์ ประกอบด้วยประวัติความเป็นมา ปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต รวมถึงการเปรียบเทียบในแต่ละสังคมหรือวัฒนธรรม
- เพศศาสตร์ในด้านวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลง ทางสรีรวิทยา ทางกายวิภาคศาสตร์ ตลอดจนโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- เพศศาสตร์ในด้านจิตวิทยา ประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลงของจิตใจ ตั้งแต่เริ่มต้นของความสัมพันธ์จนกระทั่งสิ้นสุด การเปลี่ยนแปลงของแต่ละวัย และกรณีของความผิดปกติทางจิตใจกับการมีเพศสัมพันธ์
การแบ่งแบบที่ 2 แบ่งโดยการใช้ขอบเขตของ Sexuality
- คู่ครอง (Sexual partnerships)
- การปฏิบัติเพศสัมพันธ์ (Sexual acts)
- ความหมายของเพศสัมพันธ์ (Sexual meaning)
- แรงขับและความสุขสันต์ทางเพศ (Sexual dive and enjoyment)
- สุขอนามัยทางเพศ (Sexual health)
- สุขอนามัยการเจริญพันธ์ (Reproductive health)
การพัฒนาและอนาคตของเพศศาสตร์
เมื่อเริ่มต้นของมนุษยชาติการสืบพันธุ์และให้กำเนิดบุตรถือเป็นหน้าที่ที่สำคัญ กระบวนการทางสังคมในการเลือกคู่และการแต่งงานได้ก็ถูกจัดขึ้นเพื่อหน้าที่นี้ ในยุคของบิดาเป็นผู้ปกครอง อำนาจเด็ดขาดต่อภรรยาและบุตรตกอยู่กับบิดา รวมทั้งเรื่องการมีเพศสัมพันธ์และการเลือกคู่ เมื่อกระบวนการทางสังคมของมนุษยชาติเริ่มเปลี่ยนแปลงไป บทบาทของพ่อได้ถูกปรับปรุงแก้ไขโดยสังคมวัฒนธรรม การเลือกคู่โดยคำนึงถึงความรัก และต้องการมีคู่เพียงคนเดียว นอกจากนี้ ในสังคมปัจจุบันการเลือกคู่หรือกิจกรรมทางเพศยังคำนึงถึงเรื่องสิทธิส่วนบุคคลเพิ่มเข้ามาอีกด้วยเพศสัมพันธ์นอกจากจะเป็นหน้าที่หลักทางชีววิทยาของมนุษย์แล้ว ยังช่วยลดความเครียดในการดำรงชีวิตจากการกระตุ้นต่ออวัยวะเพศ ความสุขจากการมีเพศสัมพันธ์จึงจัดเป็นผลพลอยได้ที่สำคัญของการมีเพศสัมพันธ์นอกจากการสืบเผ่าพันธุ์หรือการขยายพันธุ์ของมนุษย์ ดังนั้นเพศศาสตร์จึงรวมถึงความสุขที่สำคัญของมนุษย์ที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ อย่างไรก็ตามยังมีความเชื่อโบราณที่กล่าวถึงเพศสัมพันธ์ไว้เฉพาะการทำหน้าที่สืบเผ่าพันธุ์ โดยจัดความสุขที่เกิดขึ้นว่าเป็นบาปที่ต้องชำระล้างอกไป สตรีมีหน้าที่ในการตั้งครรภ์และการเลี้ยงดูบุตร ซึ่งเป็นผลจากการมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้นสังคมจึงเริ่มผูกเรื่องเพศศาสตร์และการเจริญพันธุ์ เข้าไว้ด้วยกัน ด้วยเหตุดังกล่าวหญิงหรือชายที่ต้องการมีคู่ จึงต้องเลือกคู่ของตนให้เหมาะสมกับคุณสมบัติด้านเพศ และด้านการเจริญพันธุ์รวมไว้ในคนเดียวกัน
การพัฒนาด้านเพศศาสตร์
การพัฒนาด้านเพศศาสตร์ สามารถแบ่งได้เป็น 3 ยุค คร่าวๆ ดังนี้- ยุคบิดาธิปไตย (Male dominance and hierarchy)
- ยุคความรักแบบโรแมนติก (Romantic love)
- ยุคปัจจุบัน (Modern sexuality)
1. ยุคบิดาธิปไตย
ในยุคของผู้ชายเป็นใหญ่ และยุคขุนนาง การแลกเปลี่ยนของมีค่าและสตรี ถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องและเพศศาสตร์ก็จัดอยู่ในกระบวนการที่สำคัญของการคงอยู่ของชนเผ่า สตรีและเด็กจะถูกปกป้องอย่างดีจากศัตรูภายนอก เมื่อสังคมเข้ามาสู่ยุคของบิดาเป็นใหญ่ในบ้าน เพศชายสามารถแสดงออกอย่างเสรีในด้านเพศต่อภรรยา หญิงรับใช้ ทาส หรือโสเภณี โดยหน้าที่ของสตรีมีเพียงการสร้างความพึงพอใจในด้านเพศต่อชาย และการเลี้ยงดูบุตร เมื่อศึกษาถึงเพศศาสตร์ในช่วง 200 ปี ที่แล้วมา ในภาษากรีก คำว่า “aphrodisia” หมายถึงการแสดงกิริยา หรือการสัมผัสซึ่งกระตุ้นความต้องการทางเพศ พฤติกรรมทางเพศและการเร้าอารมณ์ถูกพัฒนาผ่านทางอาหาร การแต่งงาน นครโสเภณีและการมีเพศสัมพันธ์กับเด็กชาย โดยมีการควบคุมเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย การนอน การสืบพันธุ์ ให้มีความสอดคล้องกัน ปัญหาทางเพศทุกชนิดไม่สามารถนำมาพูดคุยกันได้ จนกระทั่งล่วงเข้าสู่ยุคของสังคมคริสเตียน เพศสัมพันธ์ในสมัยกรีกไม่จำเพาะที่จะมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาเท่านั้น ยังสามารถมีเพศสัมพันธ์กับโสเภณี ภรรยาลับหรือทาสได้อีกด้วย โดยภรรยาต้องให้ความซื่อสัตย์ต่อสามีเท่านั้น ในยุคกรีกการแต่งงานได้รับการยอมรับและถือเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์- ยุคความรักแบบโรแมนติก
เพศศาสตร์ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของกลไก หรือว่าเป็นของมีค่าที่แท้จริงของความรักที่สร้างขึ้นระหว่างคู่หญิงชาย หรือเป็นเพียงสิ่งที่ทำลงไปเพื่อให้เพศสัมพันธ์สมบูรณ์ ในปัจจุบันความรักได้ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของครอบครัว และความสัมพันธ์คล้ายกับการใช้เงินในระบบเศรษฐกิจและการใช้อำนาจในการปกครอง ความรักยังเกี่ยวข้องกับเรื่องเพศสัมพันธ์ ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นคุณค่าที่แท้จริงของความรัก ความรักเป็นสิ่งถูกต้องเพียงอย่างเดียวในการหาคู่ครอง ปัจจัยอื่นๆ เช่น รายได้ ชั้นของสังคม หรือแม้แต่รูปร่างหน้าตา ก็ถูกจัดเป็นอันดับรองในการตัดสินใจเลือกคู่ ความต้องการของการมีเพศสัมพันธ์ในปัจจุบันได้เพิ่มสิทธิในการต้องการถึงจุดสุดยอด(Organism) เข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนการมีเพศสัมพันธ์อีกด้วย
ในยุคของสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล เพศสัมพันธ์ถูกรวมเข้ามาอยู่กับความรัก ครอบครัวและการศึกษา ความรักในยุคนี้คงอยู่เฉพาะตัวตนของคนที่ตนรักตั้งแต่เริ่มตนจนสิ้นสุดแสดงออกในด้านการงานอย่างเปิดเผย ซึ่งอาจมีผลเสียต่อสัมพันธภาพกับบุคคลอื่นๆ และความรักได้ ถูกวางค่าไว้ยิ่งใหญ่กว่าพิธีแต่งงาน
- เพศศาสตร์ในปัจจุบัน
ยุคของความรักและเพศสัมพันธ์ได้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ได้เกิดชนิดของความสัมพันธ์กันในฐานะเพื่อน ซึ่งอาจมีบุตรเป็นตัวเชื่อมระหว่างกลางหรือไม่ก็ได้ นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีเด็กจำนวนมากที่เกิดมาโดยมีเพียงมารดาเท่านั้น ความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรสได้สูญเสียความแข็งแกร่งและอิทธิพลลดลงไปมาก ดังนั้นคำว่า รัก ซึ่งเดิมถือว่าเป็นรหัสเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ของคู่รักและสังคมได้ถูกเปลี่ยนรูปแบบไป เป็นไปได้หรือไม่ที่ความรักแบบโรแมนติกที่ถูกพัฒนาโดยนักร้องและนักเขียนนวนิยาย จนกระทั่งถึงภาพยนตร์รักอมตะใกล้ถึงจุดอวสาน จากความเดิมซึ่งเชื่อว่า ความรักส่งผลให้เกิดการแต่งงานและมีบุตรหลาน ซึ่งเป็นการสืบเผ่าพันธุ์และคงความสัมพันธ์ระยะยาวระหว่างกันไว้
อย่างไรก็ตามการกล่าวถึงเพศสัมพันธ์ว่าเป็นการแสดงออกถึงความรักเป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน ในปัจจุบันความรักถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่มีความยั่งยืน ในยุคของสิทธิมนุษยชน เบ่งบาน ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน รวมทั้งคู่สามีภรรยาก็มีสิทธิเท่าเทียมกันกับเพื่อนบ้านหรือคนรู้จัก ความเป็นอิสระทำให้ความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นเหมือนความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน เพื่อเป็นการปกป้องสิทธิส่วนบุคคลดังในยุคแห่งเสรีภาพ ความหมายของคำว่า รัก จึงถูกเปลี่ยนแปลงไป ด้วยความพยายามที่จะคงความรักระหว่างคู่ของตัว เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ของหน้าที่ของครอบครัว ในปัจจุบันเป็นที่ทราบดีว่าความรักได้จืดจางหายไปอย่างรวดเร็ว แต่เด็กๆที่เป็นผลจากความสัมพันธ์ของพวกเขายังต้องการความรักและความเอาใจใส่ไปอีกระยะหนึ่ง
- เพศศาสตร์ในอนาคต
เมื่อสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลพัฒนากว้างออกไปปัญหาเกี่ยวกับการดำรงชีวิตที่เป็นไปด้วยตนเอง เพื่อตัวเอง มนุษย์จึงให้ความสำคัญต่อสุขภาพของตนเองสูงสุด เนื่องด้วยสุขภาพเกี่ยวข้องโดยตรงกับเพศสัมพันธ์ สถานฟิตเนสและสถานเสริมความงามผุดขึ้น และได้รับความนิยมอย่างมากทั้งเพศชายและเพศหญิง การโฆษณาส่งเสริมการขายโดยใช้สัญลักษณ์ทางเพศ เพื่อกระตุ้นลูกค้าวัยเจริญพันธุ์ เป็นเครื่องยืนยันถึงวัฒนธรรมส่วนบุคคล แต่การเติบโตขึ้นของเพศศาสตร์ในปัจจุบันมีบางส่วนที่มีวัตถุประสงค์เช่นเดียวกับอดีต ความเป็นอิสระของการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งในอดีตถือว่าเป็นสิ่งที่ผิด แต่กลับได้รับการยอมรับว่าเป็นเรื่องปกติในปัจจุบัน โดยเฉพาะการนำไปพูดในสื่อในลักษณะเปิดเผย เป็นการดำเนินการภายใต้วัตถุประสงค์ที่ว่าจะหาความรู้และความจริง นอกจากนี้ความแข็งแรงของร่างกายมนุษย์ ถูกนำมาเกี่ยวข้องกับ เพศศาสตร์ ทำให้มนุษย์เกิดความเครียดและความเสี่ยง เพื่อทำให้ร่างกายมีความสมส่วนในการกระตุ้นทางเพศ
โดยสรุป การพัฒนาการของเพศสัมพันธ์ในอนาคตน่าจะเป็นไปในลักษณะผสมผสาน เมื่อเสรีภาพถูกแทนที่ ร่วมกับมีการเปลี่ยนแปลงของสังคม มีผลทำให้เกิดการปรับตัวของสังคม เพื่อให้บทบาทถูกแสดงออกอย่างถูกต้อง
ที่มา https://kanlayakanlaya2014.wordpress.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น