ระบบย่อยอาหารของมนุษย์ เรื่องร่างกายใกล้ตัวชวนดูแล

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ระบบย่อยอาหาร หรือระบบทางเดินอาหาร ฟังแค่ชื่อก็พอเข้าใจอยู่แล้วใช่ไหมคะว่ามีหน้าที่ลำเลียงอาหารเข้าสู่ร่างกาย และก็ต้องย่อยอาหารที่เราทานเข้าไปให้มีขนาดเล็กจนส่งผ่านเซลล์เข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกายของเราได้ แต่กว่าที่ร่างกายจะได้รับสารอาหารได้นั้น อวัยวะต่าง ๆ ที่อยู่ในระบบย่อยอาหารก็ต้องช่วยกันทำหน้าที่หลายแรงแข็งขัน ซึ่งหากอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งในระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่ รับรองว่าอาการป่วยถามหาแน่ ๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วคงต้องมาดูแลระบบย่อยอาหารกันให้มากขึ้นแล้วล่ะ แต่ก่อนที่เราจะดูแลระบบย่อยอาหารได้ดีนั้น ก็ควรจะรู้จักก่อนว่าระบบย่อยอาหารของเรามีอวัยวะใดบ้าง และทำงานกันอย่างไร เรื่องสุขศึกษาที่ใกล้ตัวของเราแบบนี้น่าสนใจทีเดียวค่ะ

อย่างที่ทราบกันว่า ร่างกายของมนุษย์ต้องการสารอาหารไปเลี้ยงร่างกาย แต่อาหารที่เราทานเข้าไป ทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน ล้วนแล้วแต่มีโมเลกุลขนาดใหญ่เกิดกว่าที่เซลล์และเนื้อเยื่อของเราจะดูดซึมเข้าไปได้ ดังนั้น นี่จึงเป็นหน้าที่สำคัญของระบบย่อยอาหาร หรือระบบทางเดินอาหาร ที่จะย่อยอาหารต่าง ๆ ให้เล็กลงจนลำเลียงเข้าสู่เยื่อหุ้มเซลล์ได้
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่า เอ...แล้วโมเลกุลของสารอาหารต้องเล็กขนาดไหนจึงจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ คำตอบก็คือ สารอาหารต้องถูกย่อยจนกลายเป็นสารโมเลกุลเดี่ยว คือ



ส่วนวิตามินและเกลือแร่นั้น มีโมเลกุลขนาดเล็กอยู่แล้ว เมื่อเข้าสู่ร่างกายก็สามารถดูดซึมเข้าไปใช้ได้เลย โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อยอาหาร
และอย่างที่รู้ว่า อาหารทุกชนิดที่เราทานเข้าไปเมื่อผ่านกระบวนการย่อยอาหารเสร็จสิ้นแล้ว สารอาหารจะถูกดูดซึมกลับไปเป็นพลังงานให้ร่างกาย ส่วนที่เหลือคือกากอาหารจะถูกขับออกมาเป็นอุจจาระ ดังนั้น เราจำเป็นต้องขับถ่ายของเสียเหล่านี้ออก เพราะหากปล่อยให้ของเสียสะสมนานเกินไป อาจเกิดอาการท้องอืด หรือท้องผูก จนถึงขั้นเป็นริดสีดวงทวารได้

ปกติแล้วตั้งแต่ที่เราทานอาหารเข้าปาก ไปจนถึงออกทางทวารหนัก ระบบย่อยอาหารจะต้องใช้เวลาทำงานประมาณ 16-28 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับชนิดของอาหาร และเพื่อทำให้โมเลกุลของสารอาหารเล็กลงอันจะทำให้ร่างกายนำไปใช้ได้ทันที ก็ต้องมีกระบวนการย่อย ซึ่งร่างกายเราจะใช้การย่อย 2 วิธีคือ



โดยทั่วไปทางเดินอาหารของมนุษย์จะมีความยาวประมาณ 7 เมตรครึ่ง หรือ 25 ฟุต ประกอบด้วยอวัยวะมากมายที่ทำงานกันอย่างเป็นระบบ ซึ่งแต่ละอวัยวะก็มีหน้าที่ดังนี้


ปากคือด่านแรกของระบบย่อยอาหาร เพราะเมื่อเราหยิบอาหารเข้าปาก อวัยวะภายในช่องปากก็จะเริ่มช่วยกันย่อยอาหารทันที คือ




เป็นท่ออยู่หลังหลอดลมและปาก ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของอาหารจากปากไปยังหลอดอาหาร ตรงส่วนนี้ไม่มีการย่อยใด ๆ เกิดขึ้น

เป็นกล้ามเนื้อเรียบอยู่ต่อจากคอหอย มีความยาวประมาณ 23-25 เซนติเมตร ทำหน้าที่คอยรับอาหารจากคอหอยส่งต่อไปยังกระเพาะอาหาร ในลักษณะการบีบรัดกล้ามเนื้อเป็นลูกคลื่น เรียกว่า "เพอริสตัสซิส (peristalsis)" เพื่อไล่ให้อาหารเคลื่อนที่ลงสู่กระเพาะอาหาร


มีลักษณะเป็นถุงใหญ่ มีขนาด 50 ลูกบาศก์เซนติเมตร แต่หากทานอาหารเข้าไปจะสามารถขยายตัวได้ถึง 10-40 เท่า โดยภายในกระเพาะอาหารจะมีลักษณะเป็นลูกคลื่น และใช้วิธีบีบตัวเพื่อทำให้อาหารคลุกเคล้ากับน้ำย่อยที่ผลิตออกมาช่วยย่อยอาหาร ก่อนจะส่งผ่านอาหารต่อไปยังลำไส้เล็ก
ในกระเพาะอาหารนั้นจะมีการสร้างเอนไซม์อยู่หลายชนิด ประกอบด้วย







หากเราทานอาหารเข้าไปแล้ว เมื่ออาหารถูกส่งถึงกระเพาะอาหาร ก็จะใช้เวลาย่อยอาหารภายในกระเพาะอาหาร ประมาณ 2-4 ชั่วโมง จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับชนิดของอาหาร และการบีบตัวของกระเพาะอาหารด้วย เมื่อย่อยอาหารเสร็จสิ้น ก็จะส่งอาหารต่อไปยังลำไส้เล็ก โดยมีกล้ามเนื้อหูรูดกระเพาะอาหารตอนล่างคอยปิดกั้นไม่ให้น้ำดีไหลย้อนกลับเข้ามาในกระเพาะอาหาร
ทั้งนี้ ในกระเพาะอาหารนั้นจะไม่สามารถดูดซึมสารอาหารได้ ยกเว้นพวกแอลกอฮอล์ ยาบางชนิดที่เป็นกรดและน้ำ ที่กระเพาะอาหารอาจดูดซึมได้ แต่ก็ไม่เกินร้อยละ 30 โดยส่วนที่เหลือจะถูกดูดซึมที่ลำไส้เล็ก


มีความยาวประมาณ 7 เมตร ขดไปมาอยู่ภายในช่องท้องส่วนบน แบ่งออกเป็น 3 ตอน คือ



ลำไส้เล็กเป็นอวัยวะสำคัญของระบบย่อยอาหาร เพราะอาหารส่วนใหญ่จะถูกย่อยและดูดซึมในลำไส้เล็กนี้ ดังนั้น ผนังของลำไส้จึงมีลักษณะขรุขระเป็นปุ่ม ๆ ไม่เรียบเรียกว่า "วิลลัส" (Villus) มีลักษณะคล้ายนิ้วมือยื่นออกมาจากผนังลำไส้เล็ก หรือเรียกว่า "ปุ่มซึม" มีประมาณ 5 ล้านอัน ทำหน้าที่เพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดซึมอาหาร ภายในปุ่มมีเส้นเลือดฝอยมากมาย เพื่อรับอาหารที่ถูกย่อยแล้วดูดซึมเข้ามา

ภาพจำลอง "วิลลัส" ในลำไส้เล็ก
ทั้งนี้ ก่อนลำไส้เล็กจะดูดซึมอาหารก็ต้องผ่านกระบวนการย่อยเสียก่อน โดยลำไส้เล็กจะสร้างเอนไซม์ออกมาช่วยย่อยแป้งให้มีโมเลกุลขนาดเล็กที่สุดพอที่จะเซลล์ต่าง ๆ จะดูดซึมนำกลับไปใช้ในร่างกายได้ คือ



อย่างไรก็ตาม นอกจากเอนไซม์ที่ลำไส้เล็กผลิตขึ้นมาย่อยอาหารแล้ว ลำไส้เล็กยังต้องอาศัยเอนไซม์ที่ตับอ่อนผลิตขึ้นมาย่อยสารอาหารประเภทอื่นด้วยเช่นกัน คือ



และไม่ใช่แค่ตับอ่อนอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมี "ตับ" ที่จะช่วยผลิต "น้ำดี" ออกมา แล้วไปเก็บไว้ที่ถุงน้ำดี (gall bladder) เมื่อกระบวนการย่อยเริ่มขึ้น น้ำดี ก็จะเข้าไปในลำไส้เล็กช่วยย่อยไขมันให้แตกตัว อย่างไรก็ตาม การย่อยไขมันของน้ำดีนั้นถือเป็นการย่อยเชิงกล เพราะไม่ได้เปลี่ยนคุณสมบัติทางเคมีของไขมัน เพียงแค่ทำให้โมเลกุลของไขมันเล็กลงเท่านั้น และ "น้ำดี" ก็ไม่จัดว่าเป็นเอนไซม์ด้วย เนื่องจากไม่ใช่สารประกอบประเภทโปรตีน
เมื่อผ่านกระบวนการย่อยอาหารในลำไส้เล็กเสร็จสิ้นแล้ว อาหารที่ถูกย่อยจนเป็นโมเลกุลเล็กที่สุดจะถูกดูดซึมที่ลำไส้เล็ก ประมาณ 95% ผ่าน "วิลลัส" หรือ "ปุ่มซึม" ซึ่งการดูดซึมอาหารในลำไส้เล็กผ่านปุ่มซึมจะมี 2 ทาง คือ




เป็นหนึ่งในอวัยวะของระบบย่อยอาหาร แต่ไม่ได้มีหน้าที่ย่อยอาหาร เพราะลำไส้ใหญ่จะทำหน้าที่เก็บกากอาหาร ดูดซึมน้ำให้ออกจากกากอาหาร เหลือของเหลวไว้ประมาณ 150 มิลลิลิตร ส่วนที่เหลือจะถ่ายออกไปเป็นอุจจาระ โดยกากอาหารจะอยู่ในลำไส้ใหญ่นาน 12-24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ลำไส้ใหญ่ยังมีหน้าที่ดูดน้ำตาลกลูโคสที่ยังเหลืออยู่ในกากอาหารให้ดูดซึมกลับเข้าสู่กระแสเลือด
การทำงานของลำไส้ใหญ่จะบีบตัวเป็นระลอก วันละ 3-4 ครั้ง เพื่อไล่อุจจาระไปตามลำไส้ตรง อุจจาระที่ลำไส้ตรงจะกระตุ้นหูรูดทวารหนักให้เปิดออก ทำให้เรารู้สึกปวดอุจจาระ อุจจาระที่ขับออกมาจะมีกลิ่นเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับว่าเราทานอะไรเข้าไป และขึ้นอยู่กับชนิดของแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ของแต่ละคนด้วย โดยแบคทีเรียที่อยู่ที่ในลำไส้ใหญ่นี้จะช่วยสร้างวิตามินเค และวิตามินบีหลายชนิด แต่แบคทีเรียก็จะทำให้กากอาหารจำพวกโปรตีนให้มีกลิ่นแรง ซึ่งกลิ่นเหล่านี้จะออกมากับการผายลมและอุจจาระ
ทั้งนี้ ในลำไส้ใหญ่ส่วนต้นจะมี "ไส้ติ่ง" (vermiform appendix) อยู่ ซึ่งเป็นอวัยวะที่ไม่มีประโยชน์อะไรในมนุษย์ มีความยาวประมาณ 2-20 เซนติเมตร ไส้ติ่งในผู้ชายจะยาวกว่าผู้หญิงเล็กน้อย

เป็นส่วนปลายของลำไส้ใหญ่ มีลักษณะเป็นท่อตรง ยาวประมาณ 15 เซนติเมตร โดยมีกล้ามเนื้อหูรูด 2 อัน ควบคุมการเปิดปิดของทวารหนัก ทำหน้าที่เก็บกากอาหาร บริเวณนี้จะอุดมไปด้วยจุลินทรีย์และเซลลูโลส

อวัยวะส่วนสุดท้ายของลำไส้ใหญ่ เป็นช่องแคบ ๆ ยาว 2.5-3.5 เซนติเมตร ทำหน้าที่ขับถ่ายอุจจาระ ภายในประกอบด้วยกล้ามเนื้อเรียบ และกล้ามเนื้อหูรูด 2 แห่ง คือ หูรูดภายใน (Internal Sphincter) และหูรูดภายนอก (External Sphincter) ซึ่งประกอบด้วยกล้ามเนื้อลาย ทำหน้าที่ปิดกักกากอาหารไว้ เมื่อต้องการขับถ่ายกากอาหารหูรูดเหล่านี้ก็จะหย่อนยอมให้กากอาหารผ่านออกไปได้

นอกจาก ปาก คอหอย หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ แล้ว ยังมีอวัยวะอื่น ๆ ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาหารด้วย ได้แก่

หน้าที่ของตับที่เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาหารก็คือ "สร้างน้ำดี" ซึ่งเป็นน้ำสีเหลืองเขียว ที่จะช่วยย่อยไขมัน เมื่อสร้างน้ำดีแล้วก็จะส่งไปเก็บไว้ที่ "ถุงน้ำดี" ซึ่งมีรูปร่างคล้ายลูกแพร์ อยู่บริเวณพื้นล่างของตับ
ในช่วงที่ไม่มีการย่อยอาหาร ถุงน้ำดีจะขังน้ำดีเอาไว้ แต่เมื่ออาหารเข้าสู่ลำไส้เล็กตอนต้น อาหารที่เป็นไขมันไปกระตุ้นให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนเข้าสู่หลอดเลือด แล้วไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้อถุงน้ำดีบีบตัวและปล่อยน้ำดีเข้าสู่ลำไส้เล็กส่วนต้น เพื่อย่อยไขมัน น้ำดีจะทำให้ไขมันแตกตัวเป็นเม็ดเล็ก ๆ เพื่อสะดวกต่อการย่อยและดูดซึม
นอกจากนั้น น้ำดียังทำหน้าที่ดูดซึมวิตามินเอและช่วยขับของเสียอื่น ๆ ออกจากร่างกาย หากถุงน้ำดีมีนิ่วเกิดขึ้นและอุดตัน เมื่อมีการบีบตัวจะเจ็บปวดรุนแรงมาก แพทย์จะต้องตัดถุงน้ำดีออก แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ตัดถุงน้ำดีออกแล้วก็ยังสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ เพราะน้ำดีสามารถไหลเข้าสู่ลำไส้เล็กส่วนต้นได้โดยตรง

หน้าที่สำคัญของตับอ่อนที่เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาหารก็คือ สร้างน้ำย่อยอันประกอบด้วยเอนไซม์หลายชนิดมาช่วยลำไส้เล็กย่อยอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ให้มีขนาดเล็กลง จนสามารถซึมผ่านผนังของลำไส้เข้าสู่ร่างกายได้ ประกอบด้วยน้ำย่อยทริปซิน (ย่อยโปรตีน), อะไมเลส (ย่อยแป้ง) และไลเปส (ย่อยไขมัน)
นอกจากนี้ ตับอ่อนยังสร้างสารโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต ซึ่งมีฤทธิ์เป็นเบสอ่อนออกมาเ พื่อลดความเป็นกรดของอาหารที่มาจากกระเพาะอาหาร ส่วนหน้าที่ของตับอ่อนอีกประการที่ไม่เกี่ยวกับระบบย่อยอาหารก็คือ ช่วยสร้างฮอร์โมนหลายชนิด เช่น "อินซูลิน" ส่งเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง


ปาก


กระเพาะอาหาร


ลำไส้เล็ก














หากเรารับประทานอาหารที่ไม่สะอาด มีเชื้อโรคปนเปื้อน หรือทานอาหารประเภทใดประเภทหนึ่งมากเกินไป แถมยังไม่ทานผัก ผลไม้ ก็ไม่ต้องแปลกใจถ้าระบบย่อยอาหารของเราจะปั่นป่วน หรือมีอาการไม่สบายเกิดขึ้น
ทั้งนี้ ปัญหาของระบบย่อยอาหารโดยทั่วไปที่พบได้บ่อย ๆ และมีอาการไม่ร้ายแรงมาก ก็เช่น ปวดท้อง เพราะมีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป, ปวดท้องเพราะมีลมหรือแก๊สในกระเพาะอาหารหรือลำไส้มากไป, อาหารไม่ย่อย, ท้องเสีย, ท้องร่วง, ท้องผูก, คลื่นไส้, อาเจียน, ริดสีดวง, โรคกระเพาะอาหาร, โรคกรดไหลย้อน, โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) ฯลฯ ซึ่งแต่ละอาการนั้นเกิดขึ้นได้จากสาเหตุต่าง ๆ มากมาย สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยา และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง
ส่วนโรคที่เกิดกับระบบย่อยอาหารและมีอาการค่อนข้างรุนแรง การรักษายุ่งยากก็อย่างเช่น โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร, โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่, กระเพาะทะลุ, หลอดเลือดทางเดินอาหารโป่งพอง, ไส้ติ่งอักเสบ, ไส้เลื่อน, นิ่วในถุงน้ำดี, ตับอักเสบ ฯลฯ
สำหรับโรคระบบย่อยอาหารทั้งหมดที่สามารถเกิดขึ้นได้นั้น อ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ th.wikipedia.org


ได้ทำความเข้าใจกับเรื่องระบบย่อยอาหารแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องมาดูแลระบบย่อยอาหารของตัวเองกันเสียที ด้วยวิธีดี ๆ ต่อไปนี้













เห็นไหมว่าอวัยวะต่าง ๆ ของระบบย่อยอาหารมีการทำงานที่ประสานสอดคล้องกันอย่างน่ามหัศจรรย์ทีเดียว ดังนั้น เพื่อที่เราจะได้มีสุขภาพแข็งแรง ไร้โรคภัยไข้เจ็บมารบกวน ก็อย่าลืมดูแลระบบย่อยอาหารของเราให้ดีด้วยนะ
ที่มา https://health.kapook.com/view64063.htmlhttps://health.kapook.com/view64063.html